ไฟฟ้าสถิต (Electrostatic)
เป็นปรากฏการณ์ที่ปริมาณประจุไฟฟ้าขั้วบวกและขั้วลบบนผิววัสดุมีไม่เท่ากัน ปกติจะแสดงในรูปการดึงดูด,การผลักกันและเกิดประกายไฟ
ประจุไฟฟ้า (Charge)( Law of Conservation of Charge )
ประจุไฟฟ้าเป็นปริมาณทางไฟฟ้าปริมาณหนึ่งที่กำหนดขึ้น ธรรมชาติของสสารจะประกอบด้วยหน่วยย่อยๆที่มีลักษณะและมีสมบัติเหมือนกันที่เรียกว่า อะตอม(atom) ภายในอะตอม จะประกอบด้วยอนุภาคมูลฐาน 3 ชนิดได้แก่ โปรตอน (proton) นิวตรอน (neutron) และ อิเล็กตรอน (electron)โดยที่โปรตอนมีประจุไฟฟ้าบวก กับนิวตรอนที่เป็นกลางทางไฟฟ้ารวมกันอยู่เป็นแกนกลางเรียกว่านิวเคลียส (nucleus) ส่วนอิเล็กตรอน มีประจุไฟฟ้าลบ จะอยู่รอบๆนิวเคลียส
ภาพแสดงอะตอมมีจำนวนโปรตอนเท่ากับจำนวนอิเล็กตรอน(ในสภาพปกติ)
ตามปกติวัตถุจะมีสภาพเป็นกลางทางไฟฟ้า กล่าวคือจะมีประจุไฟฟ้าบวกและประจุไฟฟ้าลบ เท่ากัน เนื่องจากในแต่ละอะตอมจะมีจำนวนอนุภาคโปรตอนและอนุภาคอิเล็กตรอนเท่ากัน เป็นไปตามกฏการอนุรักษ์ประจุ
ข้อสังเกต - ถ้าวัตถุมีสภาพประจุไฟฟ้าบวกเท่ากับประจุไฟฟ้าลบ วัตถุนั้นเป็นกลาง จะไม่มีสภาพของไฟฟ้าสถิต
- ถ้าบนวัตถุมีประจุไฟฟ้าลบมากกว่าประจุไฟฟ้าบวก เรียกวัตถุนั้นว่าวัตถุมีประจุลบ (การที่มีประจุลบมากกว่าเกิดจากวัตถุนี้ได้รับอิเล็กตรอนเพิ่มเข้ามา)
- ถ้าบนวัตถุมีประจุไฟฟ้าบวกมากกว่าประจุไฟฟ้าลบ เรียกวัตถุนั้นว่าวัตถุมีประจุบวก (การที่มีประจุบวกมากกว่าเกิดจากวัตถุนี้สูญเสียอิเล็กตรอนไป)
- ถ้าบนวัตถุมีประจุไฟฟ้าลบมากกว่าประจุไฟฟ้าบวก เรียกวัตถุนั้นว่าวัตถุมีประจุลบ (การที่มีประจุลบมากกว่าเกิดจากวัตถุนี้ได้รับอิเล็กตรอนเพิ่มเข้ามา)
- ถ้าบนวัตถุมีประจุไฟฟ้าบวกมากกว่าประจุไฟฟ้าลบ เรียกวัตถุนั้นว่าวัตถุมีประจุบวก (การที่มีประจุบวกมากกว่าเกิดจากวัตถุนี้สูญเสียอิเล็กตรอนไป)
วิธีการถ่ายเทประจุ
การถ่ายเทประจุไฟฟ้า (Electrostatic Discharge) คือการถ่ายเทประจุไฟฟ้าที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อประจุไฟฟ้าบนผิววัสดุ 2 ชนิดไม่เท่ากันตัวอย่างการเกิดไฟฟ้าสถิตและการถ่ายเทประจุไฟฟ้า เมื่อเราใส่รองเท้าหนังแล้วเดินไปบนพื้นที่ปูด้วยขนสัตว์หรือพรม เมื่อเดินไปจับลูกบิดประตูจะมีความรู้สึกว่าถูกไฟช๊อต ที่เป็นเช่นนี้สามารถอธิบายได้ว่า เกิดประจุไฟฟ้าขึ้นจากการขัดสีของวัตถุ 2 ชนิด วัตถุใดสูญเสียอิเล็กตรอนไปจะมีประจุไฟฟ้าเป็นบวก ส่วนวัตถุใดได้รับอิเล็กตรอนมาจะมีประจุไฟฟ้าเป็นลบ ซึ่งขึ้นอยู่กับวัตถุที่มาขัดสีกัน ร่างกายของคนเราเป็นตัวกลางทางไฟฟ้าที่ดี เมื่อเราเดินผ่านพื้นที่ปูด้วยขนสัตว์หรือพรม รองเท้าหนังของเราจะขัดสีกับพื้นขนสัตว์หรือพรม ทำให้อิเล็กตรอนถ่ายเทจากรองเท้าหนังไปยังพื้นพรม เมื่อเราเดินไปเรื่อย ๆ อิเล็คตรอนจะถ่ายเทจากรองเท้าไปยังพื้นมากขึ้น จึงทำให้เรามีประจุไฟฟ้าเป็นบวกกระจายอยู่เต็มตัวเรา เมื่อเราไปจับลูกบิดประตู ซึ่งเป็นโลหะจะทำให้อิเล็กตรอนจากประตูถ่ายเทมายังตัวเรา ทำให้เรารู้สึกว่าคล้าย ๆ ถูกไฟช๊อต ในลักษณะเดียวกันถ้าเราใส่รองเท้ายาง รองเท้ายางจะรับอิเล็กตรอนจากผ้าขนสัตว์หรือพรมจะทำให้เรามีประจุไฟฟ้าเป็นลบ เมื่อเราเข้าไปใกล้และจะจับลูกบิดประตู จะทำให้อิเล็กตรอนถ่ายเทจากเราไปยังลูกบิดประตู เราจะมีความรู้สึกว่าคล้าย ๆ ถูกไฟช๊อต
รูปแสดงการนำแท่งอำพันที่มีประจุลบแตะวัตถุ(a) เกิดการถ่ายเทประจุ ทำให้มีประจุเป็นลบด้วย(b)
โดยการนำวัตถุตัวนำอื่นที่มีประจุไฟฟ้าอิสระอยู่แล้วมาสัมผัสกับตัวนำที่เราต้องการ จะให้เกิดมีประจุไฟฟ้าอิสระ การกระทำเช่นนี้จะเกิดการถ่ายเทประจุไฟฟ้าระหว่างตัวนำทั้งสอง และในที่สุดตัวนำทั้งสองต่างจะมีประจุไฟฟ้าอิสระ และต่างจะมีศักย์ไฟฟ้าเท่ากัน ซึ่งตามทฤษฎีอิเล็กตรอนแล้ว การถ่ายเทประจุไฟฟ้าให้กันนั้น เกิดขึ้นเนื่องจากการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนนั่นเอง ซึ่งในการทำให้เกิดประจุไฟฟ้าอิสระด้วยการสัมผัสนั้น อาจสรุปได้ว่า
(ก)ประจุฟ้าอิสระที่ตัวนำได้รับ จะเป็นประจุไฟฟ้าชนิดเดียวกันกับชนิดของประจุไฟฟ้าบนตัวนำที่นำมาสัมผัสเสมอไป
(ข) เมื่อสัมผัสกันแล้ว ตัวนำทั้งสองต่างจะมีศักย์ไฟฟ้าเท่ากัน
(ค)ประจุไฟฟ้าอิสระที่ตัวนำทั้งสองมี ภายหลังสัมผัสกันแล้วนั้น จะมีจำนวนเท่ากัน หรือ อาจไม่เท่ากันก็ได้ ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับความจุไฟฟ้าของตัวนำทั้งสอง
(ง)ประจุไฟฟ้ารวมทั้งหมดบนตัวนำทั้งสองภายหลังที่สัมผัสแล้ว จะมีจำนวนเท่ากับประจุไฟฟ้าทั้งหมดก่อนสัมผัสกัน
"สรุปว่าผลการถ่ายเทประจุโดยการแตะสัมผัส หลังการถ่ายเทจะเกิดประจุชนิดเดียวกันบนวัตถุแตะละอัน"
วิธีการเหนี่ยวนำประจุไฟฟ้า
ภาพแสดงการเหนี่ยวนำประจุไฟฟ้าบนวัตถุตัวนำ(conductor)
แรงระหว่างประจุไฟฟ้า
แรงระหว่างประจุไฟฟ้า
Charles Augustin de Coulomb ทำการวัดแรงระหว่างประจุในปี ค.ศ. 1785 โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า เครื่องชั่งการบิด ( torsion balance )
แรงระหว่างวัตถุที่มีประจุถูกวัดด้วยเครื่องมือที่มีชื่อว่า Torsional Balance ดังรูปด้านข้าง เครื่องมือนี้ประกอบด้วยทรงกลมเล็ก 2 ลูก ติดอยู่กับท่อนฉนวนน้ำหนักเบาผูกติดกับเชือกเบาให้แกว่งได้ในแนวนอน เมื่อให้ประจุกับทรงกลม A และทรงกลม B มีประจุถูกนำเข้าใกล้ๆ
นิยาม กฎของคูลอบ์
โดย แรง F14 หมายถึงแรงที่ประจุ +Q4 ผลักประจุ +Q1
เช่น 1. ให้หาแรงลัพธ์ที่ทำต่อประจุ +Q1
2. ให้หาแรงลัพธ์ที่ทำต่อประจุ -Q2
3. ให้หาแรงลัพธ์ที่ทำต่อประจุ -Q3
4. ให้หาแรงลัพธ์ที่ทำต่อประจุ +Q2
5. การหาแรงลัพธ์อาจจะใช้วิธีแตกเวกเตอร์เข้าแกน x แกน y แล้วรวมเวกเตอร์ทีละแกน
Charles Augustin de Coulomb ทำการวัดแรงระหว่างประจุในปี ค.ศ. 1785 โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า เครื่องชั่งการบิด ( torsion balance )
แรงระหว่างวัตถุที่มีประจุถูกวัดด้วยเครื่องมือที่มีชื่อว่า Torsional Balance ดังรูปด้านข้าง เครื่องมือนี้ประกอบด้วยทรงกลมเล็ก 2 ลูก ติดอยู่กับท่อนฉนวนน้ำหนักเบาผูกติดกับเชือกเบาให้แกว่งได้ในแนวนอน เมื่อให้ประจุกับทรงกลม A และทรงกลม B มีประจุถูกนำเข้าใกล้ๆ
แรงดูดหรือแรงผลักระหว่างทรงกลม A และ B จะทำให้ท่อนฉนวนเกิดการหมุน ไปบิดการแขวน มุมที่หมุนสามารถวัดได้โดยการฉายแสงไปที่กระจกที่ติดอยู่กับการแขวน เมื่ออยู่ในจุดสมดุล แรงก็สามารถคำนวณได้จากกฎของนิวตันข้อ 1 กล่าวคือแรงอยู่ในภาวะสมดุล
ชาร์ล ออกุสติน เดอ คูลอมบ์ เป็นผู้คิดค้นกฎของคูลอมบ์ขึ้นมาแล้ว กฎคูลอมบ์ (Coulomb's Law) มีใจความว่า "แรงระหว่างประจุไฟฟ้ามีค่าแปรผันตามผลคูณของประจุไฟฟ้าทั้งสองและแปรผกผันกับระยะทางระหว่างประจุไฟฟ้าทั้งสองยกกำลังสอง"
นิยาม กฎของคูลอบ์
เมื่อมีประจุไฟฟ้าสองประจุ มีขนาดประจุ Q1 และ Q2 อยู่ห่างกันเป็นระยะทาง r ขนาดของแรง F ที่ประจุต่างร่วมกระทำต่อกัน เขียนแสดงการแปรผันได้ดังนี้เ
ขนาดของแรงทางไฟฟ้า
ที่กระทำต่อกันระหว่างจุดประจุ 1 คู่ ขนาดประจุ Q1 และ Q2 วางห่างกันเป็นระยะ
มีค่าเท่ากับ


เมื่อ
คือค่าคงที่โดยในระบบ SI:
แรงทางไฟฟ้ามีทิศขนานและวางทับกับเส้นตรงที่ลากเชื่อมระหว่างจุดประจุทั้งสอง ชนิดของประจุทั้งสองเป็นตัวกำหนดว่าแรงดังกล่าวเป็นแรงผลักหรือแรงดูด


ในทางปฏิบัติเราสามารถเขียนค่าคงตัว
ให้อยู่ในรูป
เมื่อ
คือ permittivity of free space มีค่าเท่ากับ 
ชนิดของแรงระหว่างประจุ
1. ประจุต่างชนิดกันจะออกแรงดูดกัน(บวกดูดกับลบ)
การเขียนเวกเตอร์แทนแรงระหว่างประจุ




ชนิดของแรงระหว่างประจุ
1. ประจุต่างชนิดกันจะออกแรงดูดกัน(บวกดูดกับลบ)
2. ประจุชนิดเดียวกันจะออกแรงผลักกัน(บวกผลักบวก และลบผลักลบ)
รูป (a) แรงดูดเกิดจากประจุชนิดตรงกันข้ามออกแรงต่างร่วมกระทำต่อกัน
ทิศของแรงดูดที่ประจุกระทำต่อกันจะเป็นแรงดูดมีทิศเข้าหากัน
รูป (b) และ (c) แรงผลักเกิดจากประจุชนิดเดียวกัน ออกแรงต่างร่วมกระทำต่อกัน
ทิศของแรงผลักที่ประจุกระทำต่อกันจะเป็นแรงผลักมีทิศออกจากกัน
การใช้สมการ ตามกฏของคูลอมบ์
- ในการคำนวณใช้ค่า K ประมาณ 9 x 10^9 (เก้าคูณสิบยกกำลังเก้า)
- ขนาดของประจุ Q ใช้หน่วยคูลอมบ์ และระยะทาง r ใช้หน่วย เมตร จะได้แรงเป็นหน่วยนิวตันการแทนค่าประจุไฟฟ้าแต่ละตัวไม่ต้องแทนเครื่องหมายของประจุบวกหรือลบ ให้แทนค่าเฉพาะขนาดของประจุ การพิจารณาชนิดของแรงว่าเป็นแรงดูด หรือแรงผลัก ให้ดูจากชนิดของประจุคู่นั้น
การเขียนเวกเตอร์ของแรงตามกฏคูลอมบ์ที่กระทำต่อประจุตัวหนึ่ง
จากรูป เป็นการเขียนเวกเตอร์ของแรงที่กระทำต่อประจุเป้าหมาย +Q1
แรง F13 หมายถึงแรงที่ประจุ -Q3 ดูดประจุ +Q1
แรง F12 หมายถึงแรงที่ประจุ -Q2 ดูดประจุ +Q1
แรง F12 หมายถึงแรงที่ประจุ -Q2 ดูดประจุ +Q1
"การหาแรงลัพธ์ที่กระทำต่อประจุตัวหนึ่ง ให้ใช้วิธีการรวมเวกเตอร์"
เช่น 1. ให้หาแรงลัพธ์ที่ทำต่อประจุ +Q1
2. ให้หาแรงลัพธ์ที่ทำต่อประจุ -Q2
3. ให้หาแรงลัพธ์ที่ทำต่อประจุ -Q3
สนามไฟฟ้า
สนามไฟฟ้า (electric field)
สนามไฟฟ้า หมายถึง "บริเวณโดยรอบประจุไฟฟ้า ซึ่งประจุไฟฟ้า สามารถส่งอำนาจไปถึง" หรือ "บริเวณที่เมื่อนำประจุไฟฟ้าทดสอบเข้าไปวางแล้วจะเกิดแรงกระทำบนประจุไฟฟ้าทดสอบนั้น" ตามจุดต่างๆ ในบริเวณสนามไฟฟ้า ย่อมมีความเข้มของ สนามไฟฟ้าต่างกัน จุดที่อยู่ใกล้ประจุไฟฟ้าต้นกำเนิดสนาม จะมีความเข้มของสนามไฟฟ้าสูงกว่าจุดที่อยู่ ห่างไกลออกไป หน่วยของสนามไฟฟ้าคือนิวตันต่อคูลอมบ์ หรือโวลต์ต่อเมตร
1.การหาสนามไฟฟ้าจากประจุไฟฟ้าต้นกำเนิดสนาม Q
นิยามค่าสนามไฟฟ้า หมายถึง " แรงที่เกิดขึ้นบนประจุ +1 คูลอมบ์ ที่เอาไปวางในสนามไฟฟ้านั้น " สนามไฟฟ้าจากประจุ Q ใด ๆ มีค่าดังนี้
ค่า Q ไม่ต้องแทนเครื่องหมาย บวกหรือลบ
E = สนามไฟฟ้าที่เกิดจากประจุ Q (N/C)
Q = ประจุแหล่งกำเนิดที่ทำให้เกิดสนามไฟฟ้า หน่วยคูลอมบ์ (C)
R = ระยะจากแหล่งกำเนิดถึงจุดที่ต้องการรู้ค่าสนามไฟฟ้า หน่วย เมตร (m)
ทิศของสนามไฟฟ้า ที่เกิดจากจุดประจุต้นกำเนิดสนาม Q
2. การหาสนามไฟฟ้าจากแรงที่กระทำต่อประจุทดสอบ q
ในการหาสนามไฟฟ้า ให้นำประจุทดสอบ q ไปวาง ณ จุดที่เราต้องการหาสนามไฟฟ้า เมื่อมีแรง F ที่กระทำบนบนประจุทดสอบ หาค่าสนามไฟฟ้าจากอัตราส่วนแรงกระทำต่อประจุ ซึ่งสนามไฟฟ้ามีค่าเท่ากับแรงที่กระทำต่อประจุ 1 คูลอมบ์ หาได้จากสมการ
F = แรงที่กระทำบนประจุ (N)
E = สนามไฟฟ้า(N/C)
q = ประจุทดสอบ (C)
การหาทิศของสนามไฟฟ้าจากแรงที่กระทำต่อประจุทดสอบ q
3. สนามไฟฟ้าระหว่างแผ่นตัวนำคู่ขนาน
มีแผ่นตัวนำโลหะ 2 แผ่นวางขนานกัน เมื่อทำให้แผ่นหนึ่งมีประจุไฟฟ้า +Q และอีกแผ่นหนึ่งมีประจุไฟฟ้า -Q จะมีสนามไฟฟ้าระหว่างแผ่นทั้งสอง
การหาขนาดของสนามไฟฟ้าสม่ำเสมอ
ข้อสังเกต จากสมการหาสนามไฟฟ้าสม่ำเสมอระหว่างแผ่นตัวนำคู่ขนาน ระยะห่างระหว่างแผ่นขนาน จะแปรผกผันกับ สนามไฟฟ้า
4. สนามไฟฟ้าของตัวนำทรงกลม
พิจารณาตัวนำทรงกลมกลวงหรือตันที่มีประจุไฟฟ้าอิสระ ประจุจะกระจายอยู่ที่ผิวของตัวนำทรงกลมสม่ำเสมอ ซึ่งพบว่าทรงกลมที่มีประจุนี้ จะแผ่สนามไฟฟ้าไปโดยรอบ และเนื่องจากประจุบนตัวนำทรงกลมกระจายตัวอย่างสมำเสมอนี้ ทำให้เราอาจหาสนามไฟฟ้าภายนอกทรงกลมได้ โดยพิจารณาว่า ทรงกลมนี้ประพฤติตัวเหมือนจุดประจุ รวมกันอยู่ตรงกลางทรงกลม
การหาสนามไฟฟ้าที่จุด A ซึ่งอยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางของทรงกลมเป็นระยะ r คิดเสมือนว่าประจุ Q ทั้งหมดรวมกันที่จุดศูนย์กลางของทรงกลม ดังนั้น การหาขนาดของสนามไฟฟ้า ณ จุดซึ่งห่างจากจุดศูนย์กลางของทรงกลมเป็นระยะ r หาได้จาก
เนื่องจากเส้นแรงไฟฟ้าตั้งฉากกับผิวของตัวนำ และไม่สามารถผ่านทะลุไปในตัวนำได้ ดังนั้น ภายในตัวนำ ค่าความเข้มของสนามไฟฟ้าจึงมีค่าเป็นศูนย์เสมอ และที่ผิวของตัวนำทรงกลมมีความเข้มสนามไฟฟ้ามากที่สุด ซึ่งแสดงได้รูปและกราฟข้างล้าง
1. สนามไฟฟ้า ณ ตำแหน่งต่างๆ ในที่ว่างภายในตัวนำรูปทรงใดๆ มีค่าเป็นศูนย์
2. สนามไฟฟ้า ณ ตำแหน่ง ที่ติดกับผิวของตัวนำ จะมีทิศตั้งฉากกับผิวเสมอ
การหาสนามไฟฟ้ารวมที่จุดๆหนึ่ง
สนามไฟฟ้า หมายถึง "บริเวณโดยรอบประจุไฟฟ้า ซึ่งประจุไฟฟ้า สามารถส่งอำนาจไปถึง" หรือ "บริเวณที่เมื่อนำประจุไฟฟ้าทดสอบเข้าไปวางแล้วจะเกิดแรงกระทำบนประจุไฟฟ้าทดสอบนั้น" ตามจุดต่างๆ ในบริเวณสนามไฟฟ้า ย่อมมีความเข้มของ สนามไฟฟ้าต่างกัน จุดที่อยู่ใกล้ประจุไฟฟ้าต้นกำเนิดสนาม จะมีความเข้มของสนามไฟฟ้าสูงกว่าจุดที่อยู่ ห่างไกลออกไป หน่วยของสนามไฟฟ้าคือนิวตันต่อคูลอมบ์ หรือโวลต์ต่อเมตร
ภาพแสดงสนามไฟฟ้าจากประจุต้นกำเนิด +Q
เส้นแรงไฟฟ้า
หมายถึง เส้นสมมติที่ใช้เขียนเพื่อแสดงสนามไฟฟ้าโดยทิศทางของสนามไฟฟ้า หรือเส้นที่ใช้แสดงทิศทางของแรงที่กระทำต่อประจุบวกที่วางอยู่ในบริเวณที่มีสนามไฟฟ้า ความหนาแน่นของเส้นแรงไฟฟ้าแสดงถึงขนาดความเข้มของสนามไฟฟ้า ถ้าเส้นแรงหนาแน่นมากหมายถึงค่าความเข้มสนามไฟฟ้ามากด้วย
รูปแสดงเส้นแรงไฟฟ้า
สมบัติของเส้นแรงไฟฟ้า มีดังนี้
1. มีทิศพุ่งออกจากประจุบวกและพุ่งเข้าหาประจุลบ
2. แนวเส้นแรงตั้งฉากกับผิวของวัตถุที่มีประจุ
3. เส้นแรงไฟฟ้าไม่ตัดกัน
4. เส้นแรงไฟฟ้าสิ้นสุดที่ผิวนอกของตัวนำ (ภายในตัวนำไม่มีเส้นแรงไฟฟ้า) แต่เส้นแรง
ไฟฟ้าสามารถผ่านฉนวนไฟฟ้าได้
การพิจารณาค่าของสนามไฟฟ้าในรูปแบบต่างๆ
1.การหาสนามไฟฟ้าจากประจุไฟฟ้าต้นกำเนิดสนาม Q
นิยามค่าสนามไฟฟ้า หมายถึง " แรงที่เกิดขึ้นบนประจุ +1 คูลอมบ์ ที่เอาไปวางในสนามไฟฟ้านั้น " สนามไฟฟ้าจากประจุ Q ใด ๆ มีค่าดังนี้
ค่า Q ไม่ต้องแทนเครื่องหมาย บวกหรือลบ
E = สนามไฟฟ้าที่เกิดจากประจุ Q (N/C)
Q = ประจุแหล่งกำเนิดที่ทำให้เกิดสนามไฟฟ้า หน่วยคูลอมบ์ (C)
R = ระยะจากแหล่งกำเนิดถึงจุดที่ต้องการรู้ค่าสนามไฟฟ้า หน่วย เมตร (m)
ทิศของสนามไฟฟ้า ที่เกิดจากจุดประจุต้นกำเนิดสนาม Q
2. การหาสนามไฟฟ้าจากแรงที่กระทำต่อประจุทดสอบ q
ในการหาสนามไฟฟ้า ให้นำประจุทดสอบ q ไปวาง ณ จุดที่เราต้องการหาสนามไฟฟ้า เมื่อมีแรง F ที่กระทำบนบนประจุทดสอบ หาค่าสนามไฟฟ้าจากอัตราส่วนแรงกระทำต่อประจุ ซึ่งสนามไฟฟ้ามีค่าเท่ากับแรงที่กระทำต่อประจุ 1 คูลอมบ์ หาได้จากสมการ
F = แรงที่กระทำบนประจุ (N)
E = สนามไฟฟ้า(N/C)
q = ประจุทดสอบ (C)
การหาทิศของสนามไฟฟ้าจากแรงที่กระทำต่อประจุทดสอบ q
เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบทิศของสนามไฟฟ้าทั้ง 2 แบบ
3. สนามไฟฟ้าระหว่างแผ่นตัวนำคู่ขนาน
มีแผ่นตัวนำโลหะ 2 แผ่นวางขนานกัน เมื่อทำให้แผ่นหนึ่งมีประจุไฟฟ้า +Q และอีกแผ่นหนึ่งมีประจุไฟฟ้า -Q จะมีสนามไฟฟ้าระหว่างแผ่นทั้งสอง
สนามไฟฟ้าระหว่างแผ่นโลหะขนานจะมีค่าคงตัวทั้งขนาดและทิศทาง ขนาดของสนาม E หาได้จากขนาดของแรงที่กระทำต่อประจุ +1C ที่วาง ในสนามไฟฟ้านั้น หรือหาจาก ความต่างศักย์ระหว่างแผ่นขนาน/ระยะห่างระหว่างแผ่นขนาน
ทิศของสนาม หาจากทิศของแรง เมื่อนำประจุทดสอบวางลงในสนามไฟฟ้าสม่ำเสมอ โดยทิศของสนามไฟฟ้ามีทิศเดียวกับทิศแรงที่กระทำต่อประจุทดสอบ +1 C ที่วางลงในสนามไฟฟ้านี้ และทิศสนามมีทิศตรงกันข้ามกับทิศของแรงที่ทำต่อประจุลบ หรือสนามไฟฟ้ามีทิศจากแผ่นบวกไปยังแผ่นลบ
การหาขนาดของสนามไฟฟ้าสม่ำเสมอ
ข้อสังเกต จากสมการหาสนามไฟฟ้าสม่ำเสมอระหว่างแผ่นตัวนำคู่ขนาน ระยะห่างระหว่างแผ่นขนาน จะแปรผกผันกับ สนามไฟฟ้า
4. สนามไฟฟ้าของตัวนำทรงกลม
พิจารณาตัวนำทรงกลมกลวงหรือตันที่มีประจุไฟฟ้าอิสระ ประจุจะกระจายอยู่ที่ผิวของตัวนำทรงกลมสม่ำเสมอ ซึ่งพบว่าทรงกลมที่มีประจุนี้ จะแผ่สนามไฟฟ้าไปโดยรอบ และเนื่องจากประจุบนตัวนำทรงกลมกระจายตัวอย่างสมำเสมอนี้ ทำให้เราอาจหาสนามไฟฟ้าภายนอกทรงกลมได้ โดยพิจารณาว่า ทรงกลมนี้ประพฤติตัวเหมือนจุดประจุ รวมกันอยู่ตรงกลางทรงกลม
การหาสนามไฟฟ้าที่จุด A ซึ่งอยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางของทรงกลมเป็นระยะ r คิดเสมือนว่าประจุ Q ทั้งหมดรวมกันที่จุดศูนย์กลางของทรงกลม ดังนั้น การหาขนาดของสนามไฟฟ้า ณ จุดซึ่งห่างจากจุดศูนย์กลางของทรงกลมเป็นระยะ r หาได้จาก
เนื่องจากเส้นแรงไฟฟ้าตั้งฉากกับผิวของตัวนำ และไม่สามารถผ่านทะลุไปในตัวนำได้ ดังนั้น ภายในตัวนำ ค่าความเข้มของสนามไฟฟ้าจึงมีค่าเป็นศูนย์เสมอ และที่ผิวของตัวนำทรงกลมมีความเข้มสนามไฟฟ้ามากที่สุด ซึ่งแสดงได้รูปและกราฟข้างล้าง
- สนามไฟฟ้าภายในทรงกลม
สนามไฟฟ้าภายในทรงกลมเป็นศูนย์
- สนามไฟฟ้าที่ผิวทรงกลม
สนามไฟฟ้าที่ผิวทรงกลมมีค่ามากที่สุด
กราฟสนามไฟฟ้าของตัวนำทรงกลม
สนามไฟฟ้าตั้งฉากกับผิวทรงกลมเสมอ
สรุป1. สนามไฟฟ้า ณ ตำแหน่งต่างๆ ในที่ว่างภายในตัวนำรูปทรงใดๆ มีค่าเป็นศูนย์
2. สนามไฟฟ้า ณ ตำแหน่ง ที่ติดกับผิวของตัวนำ จะมีทิศตั้งฉากกับผิวเสมอ
การหาสนามไฟฟ้ารวมที่จุดๆหนึ่ง
- เขียนเวกเตอร์สนามไฟฟ้า ณ จุดที่ต้องการหาสนามไฟฟ้ารวม โดยสนามไฟฟ้ามีทิศออกจากประจุบวก และทิศเข้าหาประจุไฟฟ้าลบ
- รวมสนามไฟฟ้าด้วยวิธีรวมเวกเตอร
ศักย์ไฟฟ้า
ศักย์ไฟฟ้า หรือ เรียกว่าศักดาไฟฟ้า คือระดับของพลังงานศักย์ไฟฟ้า ณ จุดใดๆ ในสนามไฟฟ้า จากรูป ศักย์ไฟฟ้าที่ A สูงกว่าศักย์ไฟฟ้าที่ B เพราะว่าพลังงานศักย์ไฟฟ้าที่ A สูงกว่าที่ B
ศักย์ไฟฟ้ามี 2 ชนิด คือ ศักย์ไฟฟ้าบวก เป็นศักย์ของจุดที่อยู่ในสนามของประจุบวก และศักย์ไฟฟ้าลบ เป็นศักย์ของจุดที่อยู่ในสนามของประจุลบ
เมื่อประจุต้นกำเนิดเป็นประจุบวก ศักย์ไฟฟ้าจะมีค่ามากเมื่อใกล้ประจุต้นกำเนิด และมีค่าน้อยลง เมื่อห่างออกไป จนกระทั่งเป็นศูนย์ที่ ระยะอนันต์ (infinity)
เมื่อประจุต้นกำเนิดเป็นประจุลบ ศักย์ไฟฟ้าจะมีค่าน้อยเมื่อใกล้ประจุต้นกำเนิด และมีค่ามากขึ้น เมื่อห่างออกไป จนกระทั่งเป็นศูนย์ที่ ระยะอนันต์ (infinity)
ในการวัดศักย์ไฟฟ้า ณ จุดใดๆ วัดจากจำนวนพลังงานศักย์ไฟฟ้า ที่เกิดจากการเคลื่อนประจุทดสอบ +1 หน่วย จากระยะอนันต์ไปยังจุดนั้น ดังนั้น จึงให้นิยามของศักย์ไฟฟ้าได้ว่า
" ศักย์ไฟฟ้า ณ จุดใดๆ ในสนามไฟฟ้า คือ พลังงานที่สิ้นเปลืองไปในการเคลื่อนประจุ ทดสอบ +1 หน่วยประจุจาก infinity มายังจุดนั้น หรือจากจุดนั้นไปยัง infinity " ศักย์ไฟฟ้ามีหน่วยเป็น จูลต่อคูลอมบ์ หรือโวลต์
สมการคำนวณหาศักย์ไฟฟ้า ณ จุดหนึ่ง
XXคือ ศักย์ไฟฟ้าที่ตำแหน่งเนื่องจากจุดประจุแต่ละจุด
หมายเหตุ
ศักย์ไฟฟ้า เป็นปริมาณสเกลาร์ ซึ่งไม่มีทิศทาง ในการคำนวณเกี่ยวกับศักย์ไฟฟ้านั้น ต้องใส่เครื่องหมายของประจุไฟฟ้าด้วย เพราะ ศักย์ไฟฟ้ามีค่าทั้ง บวก และ ลบ ตามชนิดของประจุไฟฟ้า และ เวลาหาผลรวมของศักย์ไฟฟ้า ให้ใช้การรวมแบบสเกลาร์
ภาพแสดงที่ระยะใกล้ประจุต้นกำเนิดสนามที่เป็นบวก จะมีศักย์ไฟฟ้าสูงกว่าระยะไกล(ใกล้มีพลังงานศักย์ไฟฟ้ามากระยะไกล) เมื่อนำประจุทดสอบที่มีประจุบวก เข้าใกล้ต้นกำเนิดจะต้องออกแรงมาก และเมื่อปล่อยประจุทดสอบประจุบวกจะเคลื่อนที่ด้วยความเร่งจากบริเวณศักย์ไฟฟ้าสูงไปยังศักย์ไฟฟ้าต่ำกว่า
ภาพแสดงที่ระยะใกล้ประจุต้นกำเนิดสนามที่เป็นลบจะมีศักย์ไฟฟ้าต่ำกว่าระยะไกล(ใกล้มีพลังงานศักย์ไฟฟ้าน้อยกว่าระยะไกล) เมื่อนำประจุทดสอบที่มีประจุบวก ออกจากต้นกำเนิดจะต้องออกแรงมาก และเมื่อปล่อยประจุทดสอบประจุบวกจะเคลื่อนที่ด้วยความเร่งจากบริเวณศักย์ไฟฟ้าสูง(ไกล) ไปยังศักย์ไฟฟ้าต่ำกว่า(ใกล้)
สรุป เมื่อปล่อยให้ประจุทดสอบเคลื่อนที่เอง
เส้นสมศักย์ หมายถึง เส้นที่ต่อจุดต่างๆ ที่มีศักย์ไฟฟ้าเท่ากันในสนามไฟฟ้า ทีจุดห่างจากประจุไฟฟ้า Q เป็นระยะ r จะหาศักย์ไฟ้าได้จากสมการ V = KQ/r ดังนั้นที่ห่างจากจุดประจุ Q เท่ากัน จะมีศักย์ไฟฟ้าเท่ากัน ถ้าเราลากเส้นระหว่างจุดที่มีศักย์ไฟฟ้าเท่ากัน เราจะได้แนวเส้นวงกลมรอบจุดประจุนั้น เราเรียกว่าเส้นสมศักย์ ซึ่งเราสามารถลากเส้นสมศักย์ได้หลาย ๆ เส้น โดยทุกจุดบนเส้นสมศักย์เดียวกันจะมีศักย์ไฟฟ้าเท่ากัน ดังนั้นเส้นสมศักย์ที่ไม่ใช่เส้นเดียวกันก็จะมีศักย์ไฟฟ้าไม่เท่ากัน
เส้นสมศักย์ของจุดประจุ
เส้นสมศักย์ในสนามไฟฟ้าสม่ำเสมอ
ศักย์ไฟฟ้ามี 2 ชนิด คือ ศักย์ไฟฟ้าบวก เป็นศักย์ของจุดที่อยู่ในสนามของประจุบวก และศักย์ไฟฟ้าลบ เป็นศักย์ของจุดที่อยู่ในสนามของประจุลบ
เมื่อประจุต้นกำเนิดเป็นประจุบวก ศักย์ไฟฟ้าจะมีค่ามากเมื่อใกล้ประจุต้นกำเนิด และมีค่าน้อยลง เมื่อห่างออกไป จนกระทั่งเป็นศูนย์ที่ ระยะอนันต์ (infinity)
รูป ศักย์ไฟฟ้าที่ a สูงกว่าศักย์ไฟฟ้าที่ b
เมื่อประจุต้นกำเนิดเป็นประจุลบ ศักย์ไฟฟ้าจะมีค่าน้อยเมื่อใกล้ประจุต้นกำเนิด และมีค่ามากขึ้น เมื่อห่างออกไป จนกระทั่งเป็นศูนย์ที่ ระยะอนันต์ (infinity)
รูป ศักย์ไฟฟ้าที่ a ต่ำกว่าศักย์ไฟฟ้าที่ b
ในการวัดศักย์ไฟฟ้า ณ จุดใดๆ วัดจากจำนวนพลังงานศักย์ไฟฟ้า ที่เกิดจากการเคลื่อนประจุทดสอบ +1 หน่วย จากระยะอนันต์ไปยังจุดนั้น ดังนั้น จึงให้นิยามของศักย์ไฟฟ้าได้ว่า
" ศักย์ไฟฟ้า ณ จุดใดๆ ในสนามไฟฟ้า คือ พลังงานที่สิ้นเปลืองไปในการเคลื่อนประจุ ทดสอบ +1 หน่วยประจุจาก infinity มายังจุดนั้น หรือจากจุดนั้นไปยัง infinity " ศักย์ไฟฟ้ามีหน่วยเป็น จูลต่อคูลอมบ์ หรือโวลต์
สมการคำนวณหาศักย์ไฟฟ้า ณ จุดหนึ่ง
ศักย์ไฟฟ้าเนื่องจากจุดประจุ
ศักย์ไฟฟ้าเนื่องจากจุดประจุที่ระยะห่างออกมาจากจุดประจุตัวหนึ่ง ดังรูป ศักย์ไฟฟ้าที่จุด A คำนวณได้จาก

XXXXXXXXXXXXXXXX

XXXXเมื่อ q เป็นประจุไฟฟ้า (แทนค่าเครื่องหมายบวกหรือลบตามชนิดของประจุ)
Xr เป็นระยะจากประจุ q ออกมา ถึงจุดที่ต้องการทราบศักย์ไฟฟ้า
X V ศักย์ไฟฟ้าตรงจุด A เนื่องจากประจุ q หน่วยเป็น โวลต์ (V) หรือ จูลต่อคูลอมบ์ (J/C)
XXXXXX XXX Xk มีค่าเท่ากับ
นิวตัน-เมตร2 ต่อคูลอมบ์2 


XXXXXศักย์ ไฟฟ้าจะมีค่าเป็นบวกหรือลบขึ้นกับชนิดของประจุที่ทำให้เกิดสนาม เช่น ศักย์ไฟฟ้าที่ตำแหน่งต่างๆ ในบริเวณที่เป็นสนามไฟฟ้าของประจุบวก ศักย์ไฟฟ้าจะมีค่าเป็นบวก และศักย์ไฟฟ้าที่เกิดจากประจุต้นกำเนิดลบ จะมีศักย์ไฟฟ้าเป็นลบ เมื่อมีประจุอยู่ในบริเวณหนึ่งหลายประจุ ย่อมมีค่าศักย์ไฟฟ้าจากแต่ลละประจุต้นกำเหิด การหาศักย์ไฟฟ้าที่ตำแหน่งหนึ่งเนื่องจาก จุดประจุหลายประจุ หาได้จาก
XXXXXXXXXXXXXXXX

XXXXXเมื่อ V คือ ศักย์ไฟฟ้ารวมที่ตำแหน่งหนึ่ง

หมายเหตุ ให้รวมตามเครื่องหมาย + หรือ - ของศักย์ไฟฟ้าแต่ละค่า

ศักย์ไฟฟ้าเนื่องจากจุดประจุ q1 , q2 และ q3
ศักย์ไฟฟ้าของตัวนำทรงกลม
XXXXXXศักย์ ไฟฟ้าเนื่องจากประจุ ซึ่งกระจายอย่างสม่ำเสมอบนผิวทรงกลมตรงตำแหน่งที่ห่างออกมาจากทรงกลม ให้คิดระยะที่ห่างจากจุดศูนย์กลางของทรงกลมออกมา ดังนี้
XXXXXXXXXXXXXXX

XXXXXXศักย์ไฟฟ้าภายในตัวนำทรงกลมมีค่าเท่ากันทุกจุด และมีค่าเท่ากับศักย์ไฟฟ้าที่ผิวของตัวนำ

กราฟแสดงศักย์ไฟฟ้าเนื่องจากประจุบนตัวนำทรงกลม
พลังงานศักย์ไฟฟ้า
พลังงานศักย์ไฟฟ้า คือ พลังงานของประจุขนาด q อยู่ในตำเเหน่งใดๆของสนามไฟฟ้า หรือมีค่าเท่ากับงานในการเลื่อนประจุ q จากตำแหน่งที่มีพลังงานศักย์ไฟฟ้าเป็นศูนย์(ระยะอนันต์) มายังตำแหน่งหนึ่งในสนามไฟฟ้า
จากรูป ถ้าวางประจุไฟฟ้า q ที่ตำแหน่ง x จะมีพลังงานศักย์ไฟฟ้าของประจุเท่ากับ Ep1 เมื่อวางประจุ q ที่ตำแหน่ง y จะมีพลังงานศักย์ไฟฟ้าของประจุเท่ากับ Ep2 เมื่อประจุ q เคลื่อนที่ระหว่างตำแหน่ง x กับ y จะเกิดงาน (W) เท่ากับผลต่างของพลังงานศักย์ไฟฟ้าระหว่าง x กับ y
การหาค่าพลังงานศักย์ไฟฟ้า
ศักย์ไฟฟ้า เป็นปริมาณสเกลาร์ ซึ่งไม่มีทิศทาง ในการคำนวณเกี่ยวกับศักย์ไฟฟ้านั้น ต้องใส่เครื่องหมายของประจุไฟฟ้าด้วย เพราะ ศักย์ไฟฟ้ามีค่าทั้ง บวก และ ลบ ตามชนิดของประจุไฟฟ้า และ เวลาหาผลรวมของศักย์ไฟฟ้า ให้ใช้การรวมแบบสเกลาร์
ภาพแสดงที่ระยะใกล้ประจุต้นกำเนิดสนามที่เป็นบวก จะมีศักย์ไฟฟ้าสูงกว่าระยะไกล(ใกล้มีพลังงานศักย์ไฟฟ้ามากระยะไกล) เมื่อนำประจุทดสอบที่มีประจุบวก เข้าใกล้ต้นกำเนิดจะต้องออกแรงมาก และเมื่อปล่อยประจุทดสอบประจุบวกจะเคลื่อนที่ด้วยความเร่งจากบริเวณศักย์ไฟฟ้าสูงไปยังศักย์ไฟฟ้าต่ำกว่า
ภาพแสดงที่ระยะใกล้ประจุต้นกำเนิดสนามที่เป็นลบจะมีศักย์ไฟฟ้าต่ำกว่าระยะไกล(ใกล้มีพลังงานศักย์ไฟฟ้าน้อยกว่าระยะไกล) เมื่อนำประจุทดสอบที่มีประจุบวก ออกจากต้นกำเนิดจะต้องออกแรงมาก และเมื่อปล่อยประจุทดสอบประจุบวกจะเคลื่อนที่ด้วยความเร่งจากบริเวณศักย์ไฟฟ้าสูง(ไกล) ไปยังศักย์ไฟฟ้าต่ำกว่า(ใกล้)
สรุป เมื่อปล่อยให้ประจุทดสอบเคลื่อนที่เอง
- ประจุบวก จะเคลื่อนจากบริเวณที่มีศักย์ไฟฟ้าสูงไปยังต่ำ
- ประจุลบ จะเคลื่อนจากบริเวณที่มีศักย์ไฟฟ้าต่ำไปยังสูง
เส้นสมศักย์ หมายถึง เส้นที่ต่อจุดต่างๆ ที่มีศักย์ไฟฟ้าเท่ากันในสนามไฟฟ้า ทีจุดห่างจากประจุไฟฟ้า Q เป็นระยะ r จะหาศักย์ไฟ้าได้จากสมการ V = KQ/r ดังนั้นที่ห่างจากจุดประจุ Q เท่ากัน จะมีศักย์ไฟฟ้าเท่ากัน ถ้าเราลากเส้นระหว่างจุดที่มีศักย์ไฟฟ้าเท่ากัน เราจะได้แนวเส้นวงกลมรอบจุดประจุนั้น เราเรียกว่าเส้นสมศักย์ ซึ่งเราสามารถลากเส้นสมศักย์ได้หลาย ๆ เส้น โดยทุกจุดบนเส้นสมศักย์เดียวกันจะมีศักย์ไฟฟ้าเท่ากัน ดังนั้นเส้นสมศักย์ที่ไม่ใช่เส้นเดียวกันก็จะมีศักย์ไฟฟ้าไม่เท่ากัน
เส้นสมศักย์ของจุดประจุ
เส้นสมศักย์ในสนามไฟฟ้าสม่ำเสมอ
ความต่างศักย์ไฟฟ้า
ความต่างศักย์ไฟฟ้า หมายถึง ค่าความแตกต่างของศักย์ไฟฟ้าระหว่างจุด 2 จุดในสนามไฟฟ้า
ข้อสังเกต
ความต่างศักย์ระหว่าง 2 จุด บนเส้นสมศักย์เส้นหนึ่งเป็นศูนย์(เพราะสองจุดบนเส้นสมศักย์มีศักย์ไฟฟ้าเท่ากัน)
ความต่างศักย์ไฟฟ้าระหว่างจุด 2 จุดใดๆ หมายถึง "งานต่อหนึ่งหน่วยประจุ ในการเคลื่อนประจุระหว่างจุดทั้งสอง"
ตัวอย่างเช่น ในการเลื่อนประจุไฟฟ้า q = 2 คูลอมบ์ จากจุด B ไปยัง A ปรากฏว่างานในการเลื่อนประจุนี้เท่ากับ W= 10 จูล แสดงว่า ความต่างศักย์ไฟฟ้าระหว่างจุด A กับ B หาได้จาก V = W/q ดังนั้นความต่างศักย์ VAB = 5 จูล/คูลอมบ์ หรือ โวลต์
ความต่างศักย์ไฟฟ้าในบริเวณสนามไฟฟ้าสม่ำเสมอ
จากรูป พิจารณา 2 จุดในสนามไฟฟ้าสม่ำเสมอ E มีระยะห่างกันตามแนวขนานกับสนามไฟฟ้าเท่ากับ d สามารถหาความต่างศักย์ไฟฟ้าระหว่าง 2 จุดนี้ได้จาก V = Ed
จากรูป ในสนามไฟฟ้าสม่ำเสมอ จุด C , A , D มีศักย์ไฟฟ้าเท่ากัน และมีศักย์ไฟฟ้าสูงกว่าจุด G , B , P ซึ่งมีศักย์ไฟฟ้าเท่ากัน ดังนั้นศักย์ไฟฟ้าที่แตกต่างกันระหว่างสองจุดในสนามใฟฟ้าเรียกว่าค่าของความต่างศักย์ระหว่าง 2 จุด แต่กรณีที่ 2 จุดมีค่าศักย์ไฟฟ้าเท่ากัน ความต่างศักย์จะเป็นศูนย์ เช่น VAC= 0 หรือ VBP = 0 เป็นต้น
ข้อสังเกต
ความต่างศักย์ระหว่าง 2 จุด บนเส้นสมศักย์เส้นหนึ่งเป็นศูนย์(เพราะสองจุดบนเส้นสมศักย์มีศักย์ไฟฟ้าเท่ากัน)
การหาค่าความต่างศักย์ไฟฟ้า เมื่อทราบศักย์ไฟฟ้า 2 จุด หาได้จากผลต่างของศักย์ไฟฟ้า 2 จุดนั้น
เช่น จุดที่ a มีศักย์ไฟฟ้า 12 โวลต์ จุดที่ b มีศักย์ไฟฟ้า 8 โวลต์ หาค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าได้จาก V = va - vb = 12 - 8 = 4 โวลต์
ตัวอย่างเช่น ในการเลื่อนประจุไฟฟ้า q = 2 คูลอมบ์ จากจุด B ไปยัง A ปรากฏว่างานในการเลื่อนประจุนี้เท่ากับ W= 10 จูล แสดงว่า ความต่างศักย์ไฟฟ้าระหว่างจุด A กับ B หาได้จาก V = W/q ดังนั้นความต่างศักย์ VAB = 5 จูล/คูลอมบ์ หรือ โวลต์
ความต่างศักย์ไฟฟ้าในบริเวณสนามไฟฟ้าสม่ำเสมอ
งานในการเลื่อนประจุไฟฟ้า
งานในการเลื่อนประจุไฟฟ้า
เมื่อออกแรง F กระทำต่อวัตถุ ทำให้วัตถุเคลื่อนที่ตามแนวแรงเป็นระยะทาง S จะเกิดงานจากการกระทำโดยหาขนาดของงานได้จาก W = F.S
งานในการเลื่อนประจุ ในสนามไฟฟ้าสม่ำเสมอ
กรณีที่มีประจุไฟฟ้า q อยู่ในสนามไฟฟ้า E จากความรู้ที่ผ่านมาเราทราบแล้วว่าจะมีแรงจากสนามไฟฟ้ามากระทำต่อประจุ q ด้วยขนาดของแรง F = qE มำให้ประจุเคลื่อนที่เป็นระยะ d ดังนั้น เมื่อแทนค่าสูตรหางาน จะได้งานในการเลื่อนของประจุ ในสนามไฟฟ้า ดังนี้
ข้อสังเกต
จากสูตร ระยะ d เป็นระยะที่วัดขนานกับสนามไฟฟ้า ระหว่าง 2 จุดที่มีความต่างศักย์ V
งานในการเลื่อนประจุ ในสนามไฟฟ้าไม่สม่ำเสมอ
จุด A ห่างจากประจุต้นกำเนิด Q มีค่าศักย์ไฟฟ้า VA และจุด B ห่างจากประจุต้นกำเนิด Q มีศักย์ไฟฟ้าเท่ากับ VB เมื่อนำประจุ q เลื่อนจากจุด A ไปยัง B เราสามารถหางานในการเลื่อนประจุ q ได้จาก
ข้อสังเกต
- งานเท่ากับผลคูณระหว่างประจุที่เลื่อนกับความต่างศักย์ไฟฟ้าระหว่าง 2 จุดนั้น
- ถ้าหากทราบศักย์ไฟฟ้าของแต่ละจุด ค่าความต่างศักย์ให้ใช้ศักย์ที่จุดปลายทาง ลบด้วยศักย์ที่จุดต้นทาง (จะส่งผลต่อค่าของงานออกมาว่าจะเป็นบวกหรือลบ)
- การแทนค่าประจุ q ที่เลื่อน ในสูตร ให้แทนเครื่องหมายของประจุบวก หรือลบลงไปด้วย
- ผลการคำนวณได้ค่างานออกมาเป็นบวก หรือลบ มีความหมายดังนี้ ถ้างานเป็นค่าบวก หมายถึงงานที่ย้ายประจุจากแรงภายนอก ฝืนธรรมชาติของแรงจากสนามไฟฟ้าที่ทำต่อประจุ q เช่นเมื่อประจุ +q อยู่ในสนามไฟฟ้าจะถูกแรงไฟฟ้ากระทำให้เคลื่อนจากบริเวณศักย์สูงไปยังศักย์ต่ำ แต่ถ้าเราเลื่อนประจุ+q จากบริเวณศักย์ต่ำไปยังศักย์สูง เราต้องย้ายประจุฝืนแรงธรรมชาติ ถ้าคำนวณผลการคำนวณจะได้ค่างานเป็นค่าบวก แต่กรณีที่งานเป็นค่าลบ หมายถึงงานที่ไม่ฝืน หรืองานที่ประจุ q เลื่อนตามธรรมชาติ เช่น ประจุ +q จะเลื่อนตามธรรมชาติของแรงไฟฟ้าจากศักย์สูง ไปยังศักย์ต่ำ หรือประจุ -q จะเลื่อนจากศักย์ต่ำไปยังศักย์สูง งานกรณีเหล่านี้จะเป็นลบ
- งานในการเลื่อนประจุระหว่าง 2 จุด จะไม่ขึ้นกับเส้นทางที่เลื่อน (แม้จะเลื่อนเป็นเส้นตรง หรือเส้นโค้งต่างก็ได้งานเท่ากัน)
งานในการเลื่อนประจุจากระยะอนันต์
จากความรู้เดิม การเลื่อนประจุไฟฟ้าระหว่าง 2 จุดที่มีความต่างศักย์ไฟฟ้าจะเกิดงานในการเลื่อนประจุ แต่ถ้าเลื่อนประจุระหว่าง 2 จุดที่ไม่มีความต่างศักย์ไฟฟ้า(2 จุดมีศักย์ไฟฟ้าเท่ากัน) จะไม่เกิดงาน
เมื่อกำหนดที่ระยะอนันต์ ศักย์ไฟฟ้าเท่ากับศูนย์ การย้ายประจุไฟฟ้า q จากระยะอนันต์มาไว้ที่จุดๆหนึ่ง
จะเกิดงานในการย้ายประจุ จะต้องมีความต่างศักย์ระหว่างตำแหน่งระยะอนันต์กับจุดที่จะย้ายประจุมาลงไว้ ดังนั้นจุดที่จะนำประจุมาลงจะต้องมีศักย์ไฟฟ้า(ศักย์ไม่เป็นศูนย์)
จากรูป จุด A อยู่ห่างจากประจุ Q เป็นระยะ r ทำให้จุด A มีศักย์ไฟฟ้าเท่ากับ KQ/r ที่ระยะอนันต์มีศักย์ไฟฟ้าเป็นศูนย์ เมื่อย้ายประจุ q จากระยะอนันต์ไปลงที่จุด A จะเกิดงานในการเลื่อนประจุ หาได้
ดังนี้
ข้อสังเกต งานในการเลื่อนประจุ q จากระยะอนันต์มาไว้ที่จุดๆหนึ่ง จะมีค่าเท่ากับผลคูณของประจุที่เลื่อนกับศักย์ไฟฟ้า ณ จุดที่นำประจุมาลง จากสมการจะเห็นว่าถ้าจุดที่เลื่อนประจุมาลง ศักย์ไฟฟ้าเป็นศูนย์ จะทำให้การเลื่อนประจุจากระยะอนันต์นี้ไม่เกิดงาน
ประยุกต์การเลื่อนประจุ
1. หลักของงานและพลังงาน กับการเร่งประจุ q ในสนามไฟฟ้าสม่ำเสมอ
เมื่อนำประจุไฟฟ้า q วางลงในสนามไฟฟ้าสม่ำเสมอ E จากความรู้เดิมเราทราบเล้วว่าประจุ q จะถูกทำให้เคลื่อนด้วยความเร่ง a การเคลื่อนที่ด้วยความเร่งนี้ ระหว่างสองจุดที่ประจุเคลื่อนไปด้วยอำนาจของสนามไฟฟ้า จะต้องมีความต่างศักย์ไฟฟ้า V เกิดความสัมพันธ์กันตามหลักของงานและพลังงาน
จากสมการงานและพลังงาน
เมื่อ
V = ความต่างศักย์ระหว่าง 2 จุดที่ประจุเคลื่อนไป
d = ระยะห่างระหว่าง 2 จุดที่ประจุเคลื่อน วัดขนานกับสนามไฟฟ้า
m = มวลของอนุภาคที่มีประจุ
v = ความเร็วปลายของอนุภาค
u = ความเร็วต้นของอนุภาค
E1 = พลังงานของอนุภาค ณ จุดเริ่มต้น
E2 = พลังงานของอนุภาค ณ จุดปลายทาง
E = สนามไฟฟ้า
W = งานในการเลื่อนประจุระหว่าง 2 จุด
เมื่อออกแรง F กระทำต่อวัตถุ ทำให้วัตถุเคลื่อนที่ตามแนวแรงเป็นระยะทาง S จะเกิดงานจากการกระทำโดยหาขนาดของงานได้จาก W = F.S
งานในการเลื่อนประจุ ในสนามไฟฟ้าสม่ำเสมอ
กรณีที่มีประจุไฟฟ้า q อยู่ในสนามไฟฟ้า E จากความรู้ที่ผ่านมาเราทราบแล้วว่าจะมีแรงจากสนามไฟฟ้ามากระทำต่อประจุ q ด้วยขนาดของแรง F = qE มำให้ประจุเคลื่อนที่เป็นระยะ d ดังนั้น เมื่อแทนค่าสูตรหางาน จะได้งานในการเลื่อนของประจุ ในสนามไฟฟ้า ดังนี้
ข้อสังเกต
จากสูตร ระยะ d เป็นระยะที่วัดขนานกับสนามไฟฟ้า ระหว่าง 2 จุดที่มีความต่างศักย์ V
งานในการเลื่อนประจุ ในสนามไฟฟ้าไม่สม่ำเสมอ
จุด A ห่างจากประจุต้นกำเนิด Q มีค่าศักย์ไฟฟ้า VA และจุด B ห่างจากประจุต้นกำเนิด Q มีศักย์ไฟฟ้าเท่ากับ VB เมื่อนำประจุ q เลื่อนจากจุด A ไปยัง B เราสามารถหางานในการเลื่อนประจุ q ได้จาก
- งานเท่ากับผลคูณระหว่างประจุที่เลื่อนกับความต่างศักย์ไฟฟ้าระหว่าง 2 จุดนั้น
- ถ้าหากทราบศักย์ไฟฟ้าของแต่ละจุด ค่าความต่างศักย์ให้ใช้ศักย์ที่จุดปลายทาง ลบด้วยศักย์ที่จุดต้นทาง (จะส่งผลต่อค่าของงานออกมาว่าจะเป็นบวกหรือลบ)
- การแทนค่าประจุ q ที่เลื่อน ในสูตร ให้แทนเครื่องหมายของประจุบวก หรือลบลงไปด้วย
- ผลการคำนวณได้ค่างานออกมาเป็นบวก หรือลบ มีความหมายดังนี้ ถ้างานเป็นค่าบวก หมายถึงงานที่ย้ายประจุจากแรงภายนอก ฝืนธรรมชาติของแรงจากสนามไฟฟ้าที่ทำต่อประจุ q เช่นเมื่อประจุ +q อยู่ในสนามไฟฟ้าจะถูกแรงไฟฟ้ากระทำให้เคลื่อนจากบริเวณศักย์สูงไปยังศักย์ต่ำ แต่ถ้าเราเลื่อนประจุ+q จากบริเวณศักย์ต่ำไปยังศักย์สูง เราต้องย้ายประจุฝืนแรงธรรมชาติ ถ้าคำนวณผลการคำนวณจะได้ค่างานเป็นค่าบวก แต่กรณีที่งานเป็นค่าลบ หมายถึงงานที่ไม่ฝืน หรืองานที่ประจุ q เลื่อนตามธรรมชาติ เช่น ประจุ +q จะเลื่อนตามธรรมชาติของแรงไฟฟ้าจากศักย์สูง ไปยังศักย์ต่ำ หรือประจุ -q จะเลื่อนจากศักย์ต่ำไปยังศักย์สูง งานกรณีเหล่านี้จะเป็นลบ
- งานในการเลื่อนประจุระหว่าง 2 จุด จะไม่ขึ้นกับเส้นทางที่เลื่อน (แม้จะเลื่อนเป็นเส้นตรง หรือเส้นโค้งต่างก็ได้งานเท่ากัน)
งานในการเลื่อนประจุจากระยะอนันต์
จากความรู้เดิม การเลื่อนประจุไฟฟ้าระหว่าง 2 จุดที่มีความต่างศักย์ไฟฟ้าจะเกิดงานในการเลื่อนประจุ แต่ถ้าเลื่อนประจุระหว่าง 2 จุดที่ไม่มีความต่างศักย์ไฟฟ้า(2 จุดมีศักย์ไฟฟ้าเท่ากัน) จะไม่เกิดงาน
เมื่อกำหนดที่ระยะอนันต์ ศักย์ไฟฟ้าเท่ากับศูนย์ การย้ายประจุไฟฟ้า q จากระยะอนันต์มาไว้ที่จุดๆหนึ่ง
จะเกิดงานในการย้ายประจุ จะต้องมีความต่างศักย์ระหว่างตำแหน่งระยะอนันต์กับจุดที่จะย้ายประจุมาลงไว้ ดังนั้นจุดที่จะนำประจุมาลงจะต้องมีศักย์ไฟฟ้า(ศักย์ไม่เป็นศูนย์)
จากรูป จุด A อยู่ห่างจากประจุ Q เป็นระยะ r ทำให้จุด A มีศักย์ไฟฟ้าเท่ากับ KQ/r ที่ระยะอนันต์มีศักย์ไฟฟ้าเป็นศูนย์ เมื่อย้ายประจุ q จากระยะอนันต์ไปลงที่จุด A จะเกิดงานในการเลื่อนประจุ หาได้
ดังนี้
ข้อสังเกต งานในการเลื่อนประจุ q จากระยะอนันต์มาไว้ที่จุดๆหนึ่ง จะมีค่าเท่ากับผลคูณของประจุที่เลื่อนกับศักย์ไฟฟ้า ณ จุดที่นำประจุมาลง จากสมการจะเห็นว่าถ้าจุดที่เลื่อนประจุมาลง ศักย์ไฟฟ้าเป็นศูนย์ จะทำให้การเลื่อนประจุจากระยะอนันต์นี้ไม่เกิดงาน
ประยุกต์การเลื่อนประจุ
1. หลักของงานและพลังงาน กับการเร่งประจุ q ในสนามไฟฟ้าสม่ำเสมอ
เมื่อนำประจุไฟฟ้า q วางลงในสนามไฟฟ้าสม่ำเสมอ E จากความรู้เดิมเราทราบเล้วว่าประจุ q จะถูกทำให้เคลื่อนด้วยความเร่ง a การเคลื่อนที่ด้วยความเร่งนี้ ระหว่างสองจุดที่ประจุเคลื่อนไปด้วยอำนาจของสนามไฟฟ้า จะต้องมีความต่างศักย์ไฟฟ้า V เกิดความสัมพันธ์กันตามหลักของงานและพลังงาน
จากสมการงานและพลังงาน
เมื่อ
V = ความต่างศักย์ระหว่าง 2 จุดที่ประจุเคลื่อนไปd = ระยะห่างระหว่าง 2 จุดที่ประจุเคลื่อน วัดขนานกับสนามไฟฟ้า
m = มวลของอนุภาคที่มีประจุ
v = ความเร็วปลายของอนุภาค
u = ความเร็วต้นของอนุภาค
E1 = พลังงานของอนุภาค ณ จุดเริ่มต้น
E2 = พลังงานของอนุภาค ณ จุดปลายทาง
E = สนามไฟฟ้า
W = งานในการเลื่อนประจุระหว่าง 2 จุด
ความจุไฟฟ้าและตัวเก็บประจุ
ตัวเก็บประจุ
ตัวเก็บประจุ เป็นอุปกรณ์ที่เก็บประจุไฟฟ้าไว้ในตัวได้ ตัวเก็บประจุที่จะศึกษาในที่นี้มี 2 ชนิด ดังนี้
1. ตัวนำทรงกลม
2. ตัวเก็บประจุชนิดแผ่นตัวนำขนาน
2. ตัวเก็บประจุชนิดแผ่นตัวนำขนาน
ความจุไฟฟ้า
ความจุไฟฟ้า (Capacitance) คือ ความสามารถในการเก็บประจุของตัวนำไฟฟ้า หรือ ปริมาณประจุไฟฟ้า ที่ทำให้ตัวนำมีค่าศักย์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นหรือลดลง 1 หน่วย ตัวนำใดมีความจุไฟฟ้ามาก แสดงว่าจะต้องใช้ประจุไฟฟ้าจำนวนมากในการทำให้ศักย์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น แต่ตัวนำใดมีความจุไฟฟ้าน้อย ศักย์ไฟฟ้าก็จะเพิ่มขึ้นจากเดิมมาก
ความจุไฟฟ้า (Capacitance) คือ ความสามารถในการเก็บประจุของตัวนำไฟฟ้า หรือ ปริมาณประจุไฟฟ้า ที่ทำให้ตัวนำมีค่าศักย์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นหรือลดลง 1 หน่วย ตัวนำใดมีความจุไฟฟ้ามาก แสดงว่าจะต้องใช้ประจุไฟฟ้าจำนวนมากในการทำให้ศักย์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น แต่ตัวนำใดมีความจุไฟฟ้าน้อย ศักย์ไฟฟ้าก็จะเพิ่มขึ้นจากเดิมมาก
Q คือ จำนวนประจุไฟฟ้า ที่ทำให้เกิดศักย์ไฟฟ้า มีหน่วยเป็นคูลอมบ์ (C)
V คือ ศักย์ไฟฟ้าของตัวนำ มีหน่วยเป็นโวลต์ (V)
C คือ ความจุไฟฟ้าของตัวนำ มีหน่วยเป็น คูลอมบ์/โวลต์ (C/V) หรือ ฟารัด (F)
V คือ ศักย์ไฟฟ้าของตัวนำ มีหน่วยเป็นโวลต์ (V)
C คือ ความจุไฟฟ้าของตัวนำ มีหน่วยเป็น คูลอมบ์/โวลต์ (C/V) หรือ ฟารัด (F)
ความจุไฟฟ้าของตัวนำทรงกลม
ความจุไฟฟ้าของวัตถุตัวนำทรงกลมแปรผันตรงกับรัศมีของตัวนำทรงกลมนั้น ดังนั้นตัวนำทรงกลมขนาดใหญ่มีความจุไฟฟ้ามากกว่าตัวนำทรงกลมขนาดเล็ก
ความจุไฟฟ้าของวัตถุตัวนำทรงกลมแปรผันตรงกับรัศมีของตัวนำทรงกลมนั้น ดังนั้นตัวนำทรงกลมขนาดใหญ่มีความจุไฟฟ้ามากกว่าตัวนำทรงกลมขนาดเล็ก
ตัวนำทรงกลมรัศมี a เมื่อทำให้ทรงกลมมีประจุไฟฟ้า Q ปรากฏว่าทำให้ทรงกลมมีศักย์ไฟฟ้า V
หาค่าความจุไฟฟ้าของวัตถุตัวนำทรงกลมได้จาก
เมื่อแทนค่ารัศมี a ในหน่วย เมตร จะได้ความความจุไฟฟ้าในหน่วย ฟารัด (F)
ข้อสังเกต เมื่อ K เป็นค่าคงที่ ดังนั้น ความจุ(C) แปรผันตรงกับรัศมีทรงกลม(a) เช่นทรงกลมลูกใหญ่มีรัศมีเป็น 2 เท่าของทรงกลมลูกเล็ก สรุปว่าทรงกลมลูกใหญ่มีความจุไฟฟ้าเป็น 2 เท่าของทรงกลมลูกเล็ก ดังนั้นโลกเป็นวัตถุทรงกลมขนาดใหญ่มากจึงมีค่าความจุไฟฟ้ามากด้วย
ความจุไฟฟ้าของตัวเก็บประจุชนิดแผ่นตัวนำขนาน
ในทางปฏิบัติ เราสามารถสร้างตัวเก็บประจุไฟฟ้า(Capacitor บางตำราเรียก Condensor)ขึ้น โดยใช้แผ่นโลหะ 2 แผ่นวางขนานกัน แล้วคั่นด้วยฉนวนไฟฟ้า ดังรูป
เมื่อนำไปใช้งาน โดยต่อเข้าความต่างศักย์ค่าหนึ่ง จะทำให้เกิดการเหนี่ยวนำให้แผ่นโลหะข้างหนึ่งมีประจุไฟฟ้าเป็นบวก ส่วนอีกแผ่นหนึ่งจะมีประจุไฟฟ้าเป็นลบ และสามารถเก็บประจุไว้ได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับขนาดของพื้นที่ของแผ่นโลหะ ค่าของอัตราส่วนระหว่างประจุไฟฟ้า(Q) ต่อความต่างศักย์(V) เรียกว่า ความจุไฟฟ้า(C) มีหน่วยเป็น คูลอมบ์ต่อโวลต์ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ฟารัด(F) หาค่าได้จาก
ใช้สัญลักษณ์เป็นขีดยาวสองเส้นที่ยาวเท่ากัน(รูปซ้ายสุด) และอาจจะระบุขั้วบวกสำหรับการชาร์ตประจุไว้ด้วย(สองรูปด้านขวา)
รูปของตัวเก็บประจุแบบต่างๆ
การต่อตัวเก็บประจุ
เพื่อให้ได้ค่าของตัวเก็บประจุตามที่เราต้องการ เราสามารถนำตัวเก็บประจุตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไปมาต่อกัน ซึ่งจะมีการนำมาต่อกันได้ 2 วิธี คือ
1. การต่อแบบขนาน การนำตัวเก็บประจุมาต่อกันแบบขนาน ดังภาพด้านล่าง จะมีผลทำให้ความจุรวม มีค่ามากขึ้น มีผลเท่ากับผลรวมของความจุของตัวเก็บประจุทั้งสอง และเป็นที่น่าสังเกตว่าความต่างศักย์ไฟฟ้าของตัวเก็บประจุทั้งสอง จะมีค่าเท่ากัน และเท่ากับความต่างศักย์ไฟฟ้าของแหล่งกำเนิดไฟฟ้าที่นำมาต่อ
2. การต่อแบบอนุกรม การนำตัวเก็บประจุมาต่อกันแบบอนุกรม ดังภาพด้านล่าง จะมีผลทำให้ความจุรวม มีค่าน้อยลง และหาค่าได้จาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น